สหรัฐอเมริกา
สภาพทางภูมิศาสตร์
ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America) หรือมักย่อว่า สหรัฐฯ หรืออเมริกา เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และ 1 เขตปกครองกลาง คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีเนื้อที่แผ่นดินใหญ่เป็นพื้นที่ของรัฐติดต่อกันถึง 48 รัฐ โดยมีอีก 2 รัฐ คือรัฐอลาสก้าอยู่ทางตะวันตกตอนเหนือติดประเทศแคนาดา และรัฐฮาวาย เป็นหมู่เกาะอยู่ด้านตะวันออกในมหาสมุทรแปซิฟิคซึ่งห่างจากแผ่นดินใหญ่ถึง 3,200 กิโลเมตรโดยประมาณหรือใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมงถึงแผ่นดินใหญ่ ส่วนกว้างของประเทศ จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันตก ไปจนจรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันออก มีความกว้างถึง 4,500 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก เป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยมีพื้นที่ 9.9 ล้านตารางกิโลเมตร (หรือเทียบประมาณ 18 เท่าของพื้นที่ประเทศไทย)
ประชากร
ชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงในยุคดึกดำบรรพ์อพยพจากยูเรเชีย(อาณาเขตรวมของยุโรปและเอเชียในยุคก่อน) ย้ายถิ่นมาสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่เมื่อ 15,000 ปีก่อน ชาวตะวันตกผิวขาวขยายเขตอาณานิคมจากยุโรปมาแผ่นดินสหรัฐอเมริกาเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐจึงกำเนิดจาก 13 อาณานิคมของบริติชตามชายฝั่งตะวันออก เมื่อเกิดข้อพิพาทอาณานิคมของชาวยุโรปนำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับประกาศอิสรภาพอย่างเป็นเอกฉันท์ (และถึอเอาวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันชาติของสหรัฐอเมริกา)
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ดินแดนเพิ่มเติมจากฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และรัสเซีย และผนวกดินแดนรวมกับสาธารณรัฐเท็กซัสและสาธารณรัฐฮาวาย ความขัดแย้งระหว่างรัฐกสิกรรมทางตอนใต้และรัฐอุตสาหกรรมทางตอนเหนือ และการขยายจำนวนของทาสได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา เมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1860 ชัยชนะของฝ่ายเหนือได้ป้องกันการแบ่งแยกประเทศอย่างถาวร และยุติการค้าทาสตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ในราวคริสต์ทศวรรษ 1870 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานับว่าใหญ่ที่สุดในโลก และสงครามสเปน-อเมริกันและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้เน้นย้ำถึงสถานภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นประเทศแรกซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการแตกสลายของสหภาพโซเวียต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก มีรายจ่ายทางทหารคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายจ่ายทางทหารทั่วโลก และเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลกจนถึงปัจจุบัน
ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับการขนานนามว่า “Melting Pot” หมายถึงแหล่งรวมของประชากรที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรมที่หล่อหลอมรวมกัน ชนพื้นเมืองดั้งเดิมคืออินเดียนแดง หลังจากนั้นชาวอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดินทางอพยพเข้ามาเพื่อแสวงหาโอกาส ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรขาวผิวขาวประมาณกว่า 75% นอกจากนี้ยังมีชาวผิวดำที่ถูกนำมาจากทวีปอาฟริกาในฐานะทาส แต่เดิมคนดำจะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ แต่ปัจจุบันอาศัยกระจายอยู่ตามเมืองใหญ่ เช่น Washington DC, Chicago โดยเฉพาะ New York ส่วนชาวฮิสปานิก (Hispanic) หรือพวกเชื้อสายสเปนซึ่งมีอยู่ประมาณ 13% ยังมีชาวเอเชียหรือพวกเชื้อสายแถบหมู่เกาะแปซิฟิคประมาณ 4% รวมทั้งชนเชื้อสายญี่ปุ่นมากกว่า 1 ใน 3 อาศัยอยู่ใน Hawaii ส่วนรัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดคือ California และรองลงมาคือ New York
สภาพภูมิอากาศ
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศทุกรูปแบบ ลักษณะอากาศของแต่ละเขตจะแตกต่างกันไป เช่น ในฤดูร้อน อากาศด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณทะเลทราย อุณหภูมิเกือบเท่าแถบเส้นศูนย์สูตร ส่วนฤดูหนาวในเขตทางตอนเหนือก็จะหนาวจัดจนหิมะตกหลายเดือน แถบที่อากาศอบอุ่นสบายไม่ค่อยมีหิมะคือที่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ฟลอริด้า และแอริโซน่า ส่วนในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนสีสันสวยงามมาก
อากาศหนาว เว้นแต่ในมลรัฐฮาวาย และมลรัฐฟลอริดา หนาวเย็นมากที่บริเวณขั้วโลกเหนือในมลรัฐอะแลสกา บริเวณที่ ราบด้านตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (Mississippi) จะค่อนข้างแห้งแล้งและมีความแห้งแล้งมากบริเวณที่ลุ่มภาค ตะวันตกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะมีอากาศดีขึ้นเป็นครั้งคราวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยจะได้รับความอบอุ่นจากลมของเนินเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาร๊อกกี้
ฤดูกาลมีทั้งหมด 4 ฤดู คือ
- ฤดูร้อน (Summer) มิถุนายน – สิงหาคม
- ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) กันยายน – พฤศจิกายน
- ฤดูหนาว (Winter) ธันวาคม – กุมภาพันธ์
- ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) มีนาคม – พฤษภาคม
มีการจัดแบ่งเวลาออกเป็น 4 โซน ดังนี้
เขตเวลา (Time Zone) | เทียบเวลากับประเทศไทย | เมืองที่อยู่ในเขตนี้ |
Eastern Time Zone (ET) | ช้ากว่า 12 ชั่วโมง | Boston, New York, Washington DC, Miami, Cleveland |
Central Time Zone (CT) | ช้ากว่า 13 ชั่วโมง | Chicago, New Orleans |
Mountain Time Zone (MT) | ช้ากว่า 14 ชั่วโมง | Denver, Phoenix |
Pacific Time Zone (PT) | ช้ากว่า 15 ชั่วโมง | Los Angeles, San Francisco, Seattle |
Alaska Time Zone (AT) | ช้ากว่า 16 ชั่วโมง | Anchorage, Fairbanks |
Hawaii Time Zone (HT) | ช้ากว่า 18 ชั่วโมง | Honolulu |
Daylight Saving Time*
การปรับเวลา Daylight Saving Time คือการปรับนาฬิกาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงเมื่อเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศแถบอากาศหนาวจะได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่และยาวขึ้นกว่าปกติ สหรัฐฯ มักเริ่มตั้งแต่ 2 นาฬิกาของวันอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน จนกระทั่งถึง 2 นาฬิกาของวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายน ช่วงปรับเวลาออมแสงนี้จะกินเวลาประมาณครึ่งปี และจะปรับกลับเข้าเวลาเดิมปลายฤดูใบไม้ร่วง โดยทราบจากประกาศแจ้งจากรัฐบาล |
การปกครอง
ลักษณะภูมิประเทศที่กว้างขวางมากของสหรัฐฯ ทำให้ภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมากด้วย ดังนั้นรัฐต่างๆ จึงถูก แบ่งเป็น 7 เขตดังนี้ (นอกจากรัฐอลาสกาและรัฐฮาวาย ที่ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินใหญ่)
- Northwest States > Washington, Oregon, Idaho
- Southwest States > California, Nevada, Utah, Arizona
- North Central States > Montana, Wyoming, Colorado, North Dakota, South Dakota, Nebraska, Kansas, Minnesota, Iowa, Missouri
- South Central States > New Mexico, Oklahoma, Arkansas, Texas, Louisiana
- Midwest States > Wisconsin, Illinois, Michigan, Indiana, Ohio, Kentucky
- Northeast States > New Hampshire, Vermont, New York, Pennsylvania, West Virginia, Virginia, Maine, Massachusetts, Rhode Island, Connecticut, New Jersey, Delaware, Maryland
- Southeast States > Tennessee, North Carolina, South Carolina, Mississippi, Alabama, Georgia, Florida
ระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุด ไม่มีนายกรัฐมนตรี มีสภา 2 สภาคือ วุฒิสภา (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้สมัยละ 4 ปี และเป็นได้ไม่เกิน 2 สมัย พรรคการเมืองสำคัญมี 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และ พรรคเดโมแครต (Democrat) ระบบการปกครองของสหรัฐอเมริกาเป็นแบบสหพันธรัฐ กล่าวคือรัฐต่างๆ 50 รัฐมีสิทธิในการปกครองตนเองสูงมาก สมาชิกรัฐสภาและผู้ว่าการทุกรัฐจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มี Washington DC ตั้งอยู่ในเขต District of Columbia เป็นเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ภายในรัฐแต่ละรัฐจะแบ่งการปกครองเป็นเขตเมือง เทศบาลเมือง และการปกครองระดับท้องถิ่น
ศาสนา
ด้วยความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของประชากร และด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้อพยพ ชาวอเมริกันทุกคนจึงมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาใดก็ได้ตามความเชื่อมั่นของแต่ละบุคคลหรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ ทุกรัฐมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาเท่าเทียมกัน ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ มีประชากรนับถือมากที่สุด
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะมีฐานะใกล้เคียงกัน มีเป็นจำนวนน้อยที่จะร่ำรวยมหาศาลหรือยากจนมาก สหรัฐเป็นประเทศที่มีความเจริญและเป็นผู้นำในธุรกิจหลายประเภท และทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรม รถยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ รวมถึงการท่องเที่ยวและบันเทิง ความมั่งคั่งส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรม อุตสาหกรรม และธุรกิจเอกชน
สังคมและวัฒนธรรม
ชาวอเมริกันเป็นผู้อพยพมาจากหลากหลายวัฒนธรรม กลุ่มคนต่างๆ เหล่านี้บางกลุ่มยังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของตนไว้ เช่น กลุ่มชาวจีนมาเก่ากลุ่มอยู่ด้วยกันในไชน่าทาวน์ ชาวอิตาเลียนจะรวมตัวกันอยู่ในลิตเติลอิตาลี เป็นต้น
ชาวอเมริกันเป็นคนที่ไวต่อการเรียนรู้ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ เต็มใจที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งแปลกใหม่ยังไม่เป็นที่รู้จัก มองโลกกว้างและมองสิ่งต่างๆ ในแง่ดี ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะหนึ่งของคนอเมริกัน และโดยทั่วไปจะยอมรับคนที่มีความคิดแตกต่างกัน ความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของประชากรทั้งปวงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอเมริกันส่วนหนึ่งมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ
ด้านภาษาอังกฤษ ภาษาพูดตามสำเนียงท้องถิ่นยังมีอิทธิพลค่อนข้างมาก ตลอดจนทัศนคติและความเห็น ความสำคัญที่ให้แก่ชาวต่างประเทศของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ในภาคตะวันออกฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก หนังสือพิมพ์จะเน้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยุโรป แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก ทางภาคใต้รอบๆ อ่าวเม็กซิโกจะให้ความสนใจแถบละตินอเมริกา และภาคตะวันตกแถบมหาสมุทรแปซิฟิกจะเน้นความสนใจในเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย
ไฟฟ้าและน้ำประปา
ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115 v. 600 cycles ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ดังนั้น ถ้านักเรียนต้องการนำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไปใช้ จะต้องใช้เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าด้วย ส่วนน้ำประปาสามารถดื่มได้จากก็อกน้ำเย็น (ในเขตเมืองใหญ่ ตรวจสอบข้อแนะนำอีกครั้งในเมืองที่อยู่)
ระบบการศึกษา
การศึกษาในสหรัฐอเมริกา แต่ละรัฐจะควบคุบ คุณภาพการเรียนการสอน และวางแผนการศึกษาของตนเอง โดยไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง ทุกรัฐจะมีหน่วยงานการศึกษา คล้ายกระทรวงศึกษาธิการ คอยกำหนดมาตรฐานต่างๆ แนะนำเงินงบประมาณอุดหนุนให้โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจากเงินภาษีที่เก็บได้จากประชาชนในแต่ละรัฐ สำหรับการศึกษาภาคบังคับ นักเรียนอเมริกันทุกคนจะเรียนฟรีไม่ว่าจะอยู่ที่รัฐใด จนจบชั้นมัธยมศึกษา หรือ Grade 12 สำหรับนักเรียนจากประเทศไทยที่ต้องการเรียนในระดับประถมและมัธยมศึกษาที่อเมริกา ส่วนใหญ่จะสมัครเข้าเรียนได้ในโรงเรียนเอกชน การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะมีข้อแตกต่าง กล่าวคือ ถ้านักเรียนที่มีถิ่นฐานในรัฐหนึ่ง จะข้ามมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยอีกรัฐหนึ่ง จะต้องเสียค่าเล่าเรียนแพงขึ้นที่เรียกว่า Out of States Tuition และถ้านักศึกษามาจากประเทศอื่นจะต้องเสียค่าเล่าเรียนมากกว่าขึ้นไปอีก
ระดับอนุบาล
ชีวิตการเรียนของเด็กอเมริกัน เริ่มต้นด้วยโรงเรียนเตรียมอนุบาลหรือโรงเรียนอนุบาล ตั้งแต่อายุประมาณ 3 ปี
ระดับประถมศึกษา (Elementary School)
เด็กอเมริกันจะเข้าเริ่มเรียนอย่างจริงจังเมื่ออายุ 6 ขวบบริบูรณ์ คือเข้าเรียนในชั้น Grade 1 ซึ่งบ้านเราก็นับว่าเป็นประถมศึกษาปีที่ 1 ระบบการศึกษาของประเทศอเมริกา จะจัดแบ่งออกเป็น Grade 1 ถึง Grade 12 ซึ่งโดยหลักการแล้ว จะจัดแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 คือ Grade 1 ถึง Grade 6 หรือระดับประถมศึกษา (Elementary School)
ระดับมัธยมศึกษา (Junior High Schools/High Schools)
ช่วงที่ 2 คือ Grade 7 และ Grade 8 หรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High Schools) และช่วงที่ 3 คือ Grade 9 ถึง Grade 12 เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High Schools) โดยทั่วไปสำหรับเด็กที่เริ่มเข้าเรียนตามปกติและเรียนต่อเนื่องไปโดยไม่ขาดตอน จะสำเร็จการศึกษา Grade 12 เมื่ออายุประมาณ 18 ปี ซึ่งนับว่าสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักศึกษาต่างชาติที่เข้าไปเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาในประเทศอเมริกามีจำนวนไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำของเอกชน หรือ Boarding School เนื่องจากโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดหาหอพักให้ได้
ระดับอุดมศึกษา (Higher Education)
สถาบันระดับอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกามีมากมายกว่า 3,000 แห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน โดยสถาบันในระดับอุดมศึกษา จะแยกออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
- วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือวิทยาลัยชุมชน (Junior Colleges และ Community Colleges)
นักศึกษาที่เรียนในวิทยาลัย Junior และ Community Colleges สามารถเลือกเรียนได้ใน 2 หลักสูตร คือ
- Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยนักศึกษาจะลงเรียนวิชาบังคับ (General Education Requirements) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นนักศึกษาสามาถโอนหน่วยกิต ไปมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนเพื่อศึกษาต่อในระดับปี 3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่านักศึกษาจะได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับยากง่ายเพียงใด
- Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพหลังจาก 2 ปีแล้ว นักศึกษาจะได้รับวุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาเลือก เช่น คอมพิวเตอร์ เลขานุการ เขียนแบบ
- วิทยาลัย (Colleges) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนในสาขาวิชาต่างๆ วิทยาลัยหลายแห่งเปิดสอนถึงระดับปริญญาโท
- มหาวิทยาลัย (University) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไป มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโทและเอกในสาขาต่างๆ
- สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) เป็นสถาบันที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี และอาจเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโทและเอก สถาบันเทคโนโลยีส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่การสอนในสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ปีการศึกษา
ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic Year) จะเริ่มประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม โดยมีระบบภาคการเรียนที่แตกต่างกันออกไป
- ระบบ Semester ซึ่งเป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ในหนึ่งปีแบ่งเป็น 2 ภาคการศึกษา แต่ละภาคใช้เวลาเรียนประมาณ 16 สัปดาห์
- ระบบ Quarter ซึ่งในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์
- ระบบ Trimester ซึ่งใน 1 ปี แบ่งเป็น 3 ภาคการศึกษา และระบบ 4-1-4 เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาบางแห่งในสหรัฐอเมริกา โดยจัดแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่คั่นด้วยภาคการเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเองหรือออก Field Trip
การสมัครเข้าศึกษา
นักศึกษาที่ต้องการไปศึกษาต่อสหรัฐอเมริกา ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 1 ปี เนื่องจากการติดต่อสถานศึกษา การสอบต่างๆ การส่งเอกสาร และการพิจารณาใบสมัครต้องใช้เวลามาก การติดต่อสถานศึกษานั้น ผู้สมัครสามารถดำเนินการได้เอง โดยขอใบสมัครไปที่ Office of Admission ของมหาวิทยาลัย พร้อมระบุว่าต้องการสมัคร สาขาใด ถ้าเป็นการสมัครระดับปริญญาโทหรือเอก ต้องเขียนขอใบสมัคร ไปที่ Graduate School Admissions Office หรือ Chairman ของคณะ
หากต้องการคำแนะนำหรือการช่วยเหลือด้านข้อมูลของสถาบันการศึกษา คอร์สที่ต้องการเรียน ฯลฯ
โปรดติดต่อ บริษัท เฟอร์เธอร์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ทีมงานพร้อมและยินดีให้คำปรึกษาฟรี
เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครเรียน
แบบฟอร์มใบสมัครที่กรอกเรียบร้อย
- ค่าธรรมเนียมการสมัคร (Application Fee) ตามการเรียกเก็บของสถานศึกษาหรือสถาบันจะกำหนด ซึ่งค่าสมัครนี้จะไม่มีการคืน ไม่ว่าจะได้รับการรับเข้าศึกษาหรือถูกปฏิเสธก็ตาม
- ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
- สถานศึกษามักต้องการผลสอบ TOEFL, GRE หรือ GMAT สำหรับผู้สมัครเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทหรือเอก โดยปกติ ผลสอบเหล่านี้ ต้องขอให้ศูนย์สอบ เช่น Education Testing Service (ETS) ส่งผลไปยังสถานศึกษาโดยตรง
- จดหมายรับรองฐานะทางการเงิน (Financial Statement) ของผู้ปกครองจากสถาบันการเงินที่ผู้ปกครองเป็นลูกค้าอยู่ ในกรณีที่เป็นนักเรียนทุน ควรมีจดหมายรับรองการรับทุนแนบไปด้วย
- จดหมายรับรอง (Letter of Recommendation) 2-3 ฉบับ จากอาจารย์ผู้สอนหรือผู้บังคับบัญชา
- บทเรียงความประวัติส่วนตัวและจุดประสงค์ในการศึกษาต่อหรืออาจจะเป็นหัวข้ออื่นๆ แล้วแต่สถานศึกษาจะกำหนด ประมาณ 300-500 คำ
เอกสารเหล่านี้ ต้องส่งทางไปรษณีย์ให้ถึงสถานศึกษาก่อนวันปิดรับสมัคร สถานศึกษาจะพิจารณาจากหลักฐานที่ส่งไป หากพอใจก็จะส่งจดหมายตอบรับเข้าเรียน หลายแห่งจะให้นักศึกษาตอบยืนยันการตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปเรียน ณ สถานศึกษาที่ตอบรับมานี้แน่นอนแล้ว จึงจะส่งใบตอบรับอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า I-20 Form มาให้ เพื่อให้นักศึกษานำไปใช้ เป็นหลักฐานประกอบการขอวีซ่านักเรียน สถานศึกษาหลายแห่งอาจแนบรายละเอียดการลงทะเบียนเรียนมาด้วย